ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

หลับทั้งนั่ง

๒๒ มิ.ย. ๒๕๖๗

หลับทั้งนั่ง

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถามตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ถาม เรื่อง ได้ยินเสียงที่มากระทบ แต่ไม่กระเทือน

กราบนมัสการหลวงพ่อ ช่วงนี้หนูทำความรู้สึกตัวอยู่สม่ำเสมอ ใจหนูค่อนข้างสงบ มีอยู่ครั้งหนึ่งได้ยินเสียงคนกล่าวว่าด้วยอารมณ์ที่ไม่พอใจอย่างมาก แต่เมื่อได้ยินเสียงนั้น เหมือนใจหนูมันมีอาณาเขตขอบข่ายกันไว้ เสียงมันเข้ามาไม่ถึงใจเรา เหมือนมันอยู่วงนอกร่างกาย วงในมันสงบ แล้วเราไม่รู้สึกโกรธใดๆ เลย สภาวะของหนูมันคืออะไรคะ

ตอนนั้นหนูศึกษาธรรมะครูบาอาจารย์เรื่องสักแต่ว่า กรณีนี้คงเป็นประสบการณ์แบบสักแต่ว่าได้ยิน แล้วมีสักแต่ว่าเห็นด้วยค่ะ ความรู้สึกมันเข้าไม่ถึงใจ ใจมันอยู่กับตัว มันไม่คิดปรุงแต่ง หนูเข้าใจว่ามันคงเป็นฌานใช่ไหมคะ แต่หนูก็ยังรู้สึกตัวและสิ่งแวดล้อมอยู่ ไม่ใช่ฌานสงบนิ่งไม่รู้อะไรเลย หนูอยากทราบเพื่อที่จะได้เลือกแนวทางปฏิบัติต่อไปเจ้าค่ะ

ตอบ นี่คำถามเนาะ คำถามๆ เวลาฝึกหัดให้จิตนี้เข้มแข็งขึ้น คำว่า จิตเข้มแข็งขึ้น” มีสติปัญญาเท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตน

แล้วถ้ามันมีวาสนาของคน มันออกรู้สิ่งใดต่างๆ มันออกรู้ๆ ถ้าคนไม่มีสติปัญญาหรือส่วนใหญ่แล้วเขาอยากทดสอบ อยากทำความเข้าใจกับมัน แล้วก็ส่งออกไปอย่างนั้นน่ะ พันพัวกันอยู่อย่างนั้น พอพันพัวกันอย่างนั้นจนมันจับต้นชนปลายไม่ได้ เดี๋ยวก็ล้มลุกคลุกคลานไป

แต่ถ้าเวลาคนทำความสงบของใจเข้ามาบ้าง มันมีกำลังของมัน มันออกรู้สิ่งใด ถ้ามีสติปัญญานะ เราวางไว้ๆ วางไว้เพราะอะไร เพราะเราไม่ภาวนาเราก็รู้ได้ เราไม่ภาวนาเราก็สนใจเรื่องอย่างนี้ได้ เวลาเราภาวนาแล้ว จิตที่มันมีกำลังของมัน จิตมันมีความสงบของมันบ้าง เราก็ทำต่อเนื่องไปเพื่อความมั่นคงในหัวใจของเราดีกว่า

ทีนี้ทำเพื่อความมั่นคงในหัวใจโดยกิเลสที่มันปลิ้นปล้อน มันบอกว่ามันไม่ครึกครื้น มันไม่มีความมหัศจรรย์

แต่ความจริงความสงบนั้นน่ะมันมหัศจรรย์ในตัวมันเอง

นี่พูดถึงว่า คนฝึกหัดการประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ นะ ฉะนั้น เวลาเขาปฏิบัติแล้วเขาบอกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งได้ยินเสียงคนที่เขาว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะครั้งหนึ่งนั้น ขณะที่ภาวนาหรือขณะอยู่ในชีวิตประจำวันโดยปกตินี้

ถ้าอยู่ในชีวิตประจำวันปกตินี้ ถ้ามันไปรับรู้สิ่งใด ถ้ามันฝึกหัดมีกำลังของมันบ้าง มีกำลัง มีสติบ้าง มันยับยั้งได้ มันเท่าทันอารมณ์ได้ แล้วเท่าทันอารมณ์แต่ละบุคคลมันก็แตกต่างกัน แตกต่างกันที่วาสนาไง วาสนาหมายความว่าความชอบไง

อย่างเช่นคนภาคเหนือเขาก็คุ้นชินกับอาหารทางภาคเหนือ คนภาคใต้เขาก็คุ้นชินกับอาหารภาคใต้ คนภาคอีสานเขาก็คุ้นชินของเขา คนภาคตะวันตกเขาก็คุ้นชินของเขา นี่จริตนิสัย ถ้าคุ้นชินของเขา อาหารสิ่งใดมามันถูกกับจริตนิสัยเขา มันก็เป็นความชอบของเขา แต่อาหารภาคใดๆ ก็กินได้ทั้งนั้นน่ะ แต่มันจะถูกใจหรือไม่ถูกใจนั่นอีกเรื่องหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันเกิดสิ่งใดขึ้นมามันอยู่ที่วาสนาของคน ถ้าวาสนาของคน ถ้านั่งสมาธิอยู่ นี่สำคัญมาก ถ้านั่งสมาธิอยู่ จิตมันสงบแล้วมันมีสติมันมีปัญญาที่ว่าเวลาคนที่เขามากล่าวว่า มันเหมือนกับมีสิ่งใดที่มันมากั้นไว้เลย มันเป็นวงนอกวงใน วงนอกคือเสียงสักแต่ว่าก็อยู่ข้างนอกที่สักแต่ว่า

คำว่า สักแต่ว่า” สักแต่ว่ามันเป็นชื่อ แล้วสักแต่ว่าของเขามันสักแต่ว่าของเขา ถ้ามันสักแต่ว่า เวลาตัวของมันที่เป็นสักแต่ว่าคือปรากฏการณ์ที่เวลาเขากล่าวว่าโดยความติเตียนแล้วเราไม่ตื่นเต้น ไม่รู้สึกไปกับคำกล่าวว่านั้น

สักแต่ว่าก็สักแต่ว่า นั่นเป็นชื่อ แต่สักแต่ว่าๆ แต่มันปรากฏที่ใจ ใจที่มันรับรู้เสียงสิ่งต่างๆ แล้วมันสักแต่ว่า มันวางสิ่งนั้นไว้ มันวางอารมณ์ไว้ข้างนอก แล้วข้างในมีสติมีปัญญา เวลาฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมามันต้องมีสติและมีปัญญา แล้วมันมีความสงบระงับของใจ มันเป็นปรากฏการณ์ที่ถูกต้องชอบธรรม

ไม่ใช่ว่างๆ ว่างๆ ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้สิ่งใดเลย มันก็เป็นอารมณ์ที่กิเลสมันขับไสมาอย่างเดิมนั่นแหละ

แต่ถ้าฝึกหัดปฏิบัติมันก็ต้องถูกต้องอย่างนี้ ถ้าถูกต้องอย่างนี้แล้ว เวลาเขาบอกว่าเขาอยากจะทำความเข้าใจว่าสิ่งนั้นมันเป็นฌานหรือไม่

ทำความสงบของใจเราไม่เกี่ยวกับฌาน ถ้าเป็นฌานๆ เราจะยกระดับจิตของเราไปเทียบตรงนั้น เทียบกับฌาน ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ นี่สมาบัติ ๘ ฌาน ฌานสมาบัติ

เราจะเอาจิตเราไปเทียบอย่างนั้นเพื่อเป็นฌาน เป็นเครดิต เป็นเครดิตว่าเราทำนี่ได้มันได้ฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ อรูปฌาน อากาสานัญจายตนะ เป็นอากาศธาตุ นี่ไง เรื่องโลกๆ เรื่องฌานโลกีย์เรื่องอภิญญามันเรื่องของโลก

แต่เวลาในพระพุทธศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญา

สมาธิก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ พอมันเป็นสมาธิขึ้นมาแล้ว พอมีกำลังขึ้นมามันมีอำนาจวาสนาอย่างที่ปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้น

สิ่งที่กระทบ ถ้ายิ่งนั่งภาวนาอยู่ด้วย จิตสงบแล้วมันมีการกระทบ เวลามันเกิดจากภายใน เห็นไหม เวลาฝึกหัด พุทโธๆๆ มันจะละเอียดอย่างไร มันจะรับรู้อย่างไร มันมีสติแล้วมันมีการรับรู้ตลอดเวลา

มันไม่ใช่นั่งหลับใหล นั่งเวิ้งว้าง ไม่มีสิ่งใดเลย...หลับครับ นั่งหลับหมดน่ะ แล้วนั่งหลับแล้วนะ ยังสำคัญตนว่า โอ้โฮทำสมาธิเก่ง ภาวนายอดเยี่ยม แต่ไม่มีอะไรก้าวหน้าเลย เพราะอะไร เพราะมันไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีต้น ท่ามกลาง ที่สุด ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันทั้งสิ้น

ถ้าทำเป็นชิ้นเป็นอัน เริ่มต้นฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา เริ่มต้นมันก็เครียด มันก็ทุกข์มันก็ยากของมันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะการทำงาน พอทำงานแล้วมันถูกต้องชอบธรรมขึ้นมาแล้วมันจะมีความสงบระงับของมันเข้ามา

แล้วถ้ามีสติมีปัญญา อย่างที่เกิดนี้ อย่างที่เกิด เห็นไหม เกิดปรากฏการณ์ว่า เหมือนมีเสียงคนมากล่าวว่า แต่สิ่งนั้นไม่กระทบกระเทือนใจเราเลย มันมหัศจรรย์ มันอยู่ข้างนอก แล้วเราเห็นๆ เห็นไหม

ถ้าทำสมาธิ สติสัมปชัญญะมันจะรู้ตั้งแต่ต้น ละเอียดเข้าไปขนาดไหนเราก็รู้ของเรา เรารู้ของเราแล้ว ถ้าทำต่อเนื่องไปมันจะละเอียดลึกซึ้งมากขึ้นไปเรื่อยๆ

เว้นไว้แต่คนบอกว่า นี่มันถึงที่สุดแล้ว ไม่ภาวนาต่อไป คือไม่บริกรรมต่อไป

ถ้าบริกรรมต่อเนื่องไป มันจะละเอียดขนาดไหนก็แล้วแต่ บริกรรมต่อเนื่องไป ไม่ทิ้งๆ แล้วเวลาถึงที่สุดแล้วโดยข้อเท็จจริงของมัน มันจะขาดของมันไป คำบริกรรมนั้นมันจะระงับไป ระงับไปเพราะจิตมันเป็นอิสระโดยตัวของมันเองโดยชัดเจน อันนั้นน่ะข้อเท็จจริง ถ้ามันเป็นความจริงนะ

ฉะนั้นว่า เข้าใจว่ามันคงเป็นฌานใช่ไหมคะ

คำว่า ฌาน” ก็คือสมาธิ คำว่า ฌาน” ก็คือว่าสงบ แต่ฌานสมาบัติมันมีเข้ามีออก มีเข้ามีออกมันทำให้จิตมันมีกำลังของมันขึ้นมาแล้วมันส่งออกไป นั่นถึงว่าการฝึกหัดฌาน ฌานสมาบัติ

แต่ถ้าเป็นพระพุทธศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญา เราทำความสงบของใจเข้ามา

เพียงแต่ว่า สิ่งที่ปรากฏขึ้นมามันเป็นปรากฏการณ์ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อผลของการปฏิบัติ เชื่อผลของปรากฏการณ์ในใจของตน

ถ้าปรากฏการณ์ในใจของตน เห็นไหม มันถึงว่าแปลกไง เสียงที่ได้ยินมากระทบ แต่ไม่กระเทือนเลย

เพราะสติและความสงบมีกำลังนะ แต่พอเดี๋ยวถ้ามันเสื่อมไปแล้วนะ วิ่งไปหาเขาเอง วิ่งไปหาเขาเองคือมันเปิดหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย อะไรมากระทบ จิตมันรับรู้เต็มที่ แบกหามเต็มที่ แล้วปรุงแต่งเต็มที่ ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ

วิ่งไปหาเขาเองคือวิ่งไปกว้านเอารูป รส กลิ่น เสียงเข้ามาเหยียบย่ำหัวใจของตนเองเวลาจิตมันเสื่อม

เวลาจิตมันมีกำลังขึ้นมามันกันได้หมดเลย มันอยู่วงนอก จิตอยู่วงใน ไม่กระทบกระเทือนเลย เห็นไหม นี่ปรากฏการณ์ของการปฏิบัติ

ถ้าคำว่า จิตมันสงบระงับ” แต่ปรากฏการณ์อย่างนี้มันเฉพาะบุคคล ทุกคนจะให้เป็นอย่างนี้ไม่มี แล้วจะให้เหมือนคนอื่นก็ไม่ใช่ เพราะมันเป็นอยู่ที่จริตนิสัยการกระทำของอำนาจวาสนาของตนมา ฉะนั้น ทำแบบนี้คือผลของการปฏิบัติ

จิตสงบระงับมีกำลัง เวลามีเสียงกระทบมันไม่เข้ามากระทบถึงจิตของตน นี่ปรากฏการณ์ที่มันเกิดขึ้น แต่มันมีความมหัศจรรย์ อยากจะรู้ว่ามันเป็นฌานหรือไม่เป็นฌาน

มันเป็นความสงบของใจ เป็นสมาธิ เป็นสมถกรรมฐาน ฐานที่มั่นคง ฐานที่จะยืนจะมั่นคงแล้วฝึกหัดปฏิบัติต่อเนื่องไป จบ

ถาม เรื่อง หลับทั้งนั่ง

กราบเท้าหลวงพ่อ ช่วงนี้พุทโธตลอดวัน ถืออิริยาบถยืน เดิน นั่ง ไม่ล้มตัวนอน สัปดาห์ละ ๕ วัน เอาเครื่องนอนออกหมด เหลือแต่ที่นั่ง

คำถาม

ช่วงหลังๆ นี้เริ่มนั่งหลับ ทั้งอดอาหารช่วย ทั้งเปลี่ยนอิริยาบถก็แล้ว ทราบว่าขาดกำลังสติกับความเพียร พอจะมีอุบายเสริมไหมครับ

เริ่มรู้สึกว่า อดนอนหลายวัน ร่างกายตื่น สติดีขึ้น เห็นความชั่วตัวเองแล้วเริ่มสวนมันด้วยปัญญาอบรมสมาธิได้มากขึ้น ควรเพิ่มความเพียรขึ้นไปอย่างไรครับ โดยส่วนตัวเชื่อว่าเราโง่กว่าครูบาอาจารย์ ถ้าเราไม่โง่กว่า ไม่มีทางทำได้น้อยกว่าจะได้ผลลัพธ์ครับ

ตอบ อันนี้คำถามเนาะ หลับทั้งนั่ง สารภาพมาเองเลยนะ หลับทั้งนั่ง นั่งๆ อยู่นี่นั่งหลับเลย แล้วนั่งหลับด้วยความทุกข์ทรมาน ด้วยความทุกข์ทรมานของตน เห็นไหม

พยายามฝึกหัดปฏิบัติพุทโธๆๆ ถ้านั่งหลับๆ มันเป็นสุภาพบุรุษ ถ้าเรานั่งแล้วหลับ เรารู้ว่ามันหลับ พอนั่งหลับขึ้นมามันนั่งเป็นหัวตอ ทั้งวันทั้งคืนก็นั่งได้ นั่งอย่างนั้นน่ะ แล้วพอนั่งแล้วไม่รู้ตัวด้วย

แล้วพอออกจากการภาวนา สำคัญตนเลยว่าตนภาวนายิ่งใหญ่นัก ตนภาวนามีผลของการปฏิบัติ ผลที่ปฏิบัติ สำคัญตนว่าเราเป็นผู้วิเศษ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย มันเป็นผลลบอีกต่างหาก

มันเป็นผลลบเพราะปฏิบัติไปแล้วเป็นมิจฉา เป็นความเข้าใจผิด เป็นความเห็นผิด แล้วสำคัญตนผิด ออกนอกลู่นอกทางไปเลย

หลับทั้งนั่ง หลับแน่นอน ส่วนใหญ่ไอ้ว่าว่างๆ ว่างๆ เพราะมันหลับไปแล้วมันเหมือนกับว่าง เพราะมันหลับ ถ้าไม่หลับมันก็เพ้อเจ้อเพ้อฝัน มันขาดสติไง ถ้ามันขาดสติแล้ว เวลามันจะหลับ เราก็รู้ว่ามันหลับ

แล้วถ้าเรานั่งแล้วเราพยายามนั่งแบบไม่ให้หลับ ไม่ให้หลับก็มีสติแล้วพุทโธๆๆ ต้องชัด ถ้าพุทโธหายแปลว่าหลับ มันหายไปเลย แล้วมันหลับไป

คนหลับไง เราหลับเราไม่รู้ว่าตัวเองหลับ พอไม่รู้ตัวเองว่านั่งหลับ มันก็เหมือนว่าสำคัญว่าเราเข้าสมาธิ แล้วเวลามันสะดุ้งตื่น มันตื่นขึ้นมานะ...หลับนี่

เราเคยเป็นมาทั้งนั้นน่ะ เป็นโดยความไม่รู้ตัว เรานั่งนี่นะหลายๆ ชั่วโมง นั่งนะ โอ้โฮสำคัญตนว่าเก่งมากตอนนั้นน่ะ แต่พอนั่งแล้วมันนั่งอยู่ในที่ร่ม แล้วพอออกจากสมาธิมาทำไมจีวรมันเปียกๆ แล้วเปียกอะไรล่ะ ก็เปียกน้ำลายคนนั่งไง พอมันโดนถึงน้ำลาย โอ้โฮไอ้นี่เอ็งนั่งหลับนี่หว่า

เราเป็นสุภาพบุรุษ เราอยากหาความจริง เราทำเพื่อคุณงามความดี แต่นี่ทำแล้วมันไม่ได้คุณงามความดี แล้วเป็นผลลบด้วย เพราะจิตมันตกภวังค์ พอตกภวังค์หลับไปนะ แล้วภวังค์มันจะลึกไปเรื่อยๆ แล้วสำคัญตนผิดว่าตัวเองนั่งสมาธิ ว่าตัวเองกำลังประพฤติปฏิบัติ แล้วพอมานั่งสมาธิแต่ได้ภวังค์ ได้ความเป็นมิจฉา ไอ้นี่เป็นภวังค์นะ

แล้วเวลานั่งสมาธิๆ ถ้าใครนั่งแล้วมันสักแต่ว่าๆ นั่นน่ะหลวงตามหาบัวท่านบอกว่า นั่นล่ะสมาธิหัวตอ

หัวตอคือตอไม้ ตอไม้ที่เขาตัดต้นมันไปทำประโยชน์เหลือแต่ตอ มันใช้ประโยชน์อะไร จิตของตนทำให้เป็นหลักเป็นตอ

นี่แค่นั่งสมาธินะ ถ้านั่งสมาธิแล้วถ้ามันหลับมันใหล มันถึงพื้นฐาน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงานมันหาไม่เจอ ทำขึ้นมาไม่ได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว คำถาม หลับทั้งนั่ง” นั่งหลับ

จิตมันไวมาก ความคิดเร็วกว่าแสง แล้วจะควบคุมความคิดของตนอย่างใด

ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิมันก็เท่าทันความรู้สึกนึกคิดของตนแล้วเป็นประโยชน์ขึ้นมา มันหยุด แล้วตัวเองชัดเจนของเรา นั่นคือปัญญาอบรมสมาธิ แต่มันชั่วคราว แล้วถ้ามันชั่วคราวแล้วทำอย่างไรต่อไป

ก็พุทโธต่อเนื่องให้มันเป็นสมาธิต่อเนื่องมาให้ได้ แต่ถ้ามันคิด เราก็ใช้ปัญญาไล่ของมันไป นี่พูดถึงวิธีการแก้ไข คือไม่ให้มันหลับ ไม่ให้มันหลับ ให้มันเป็นสมาธิ ให้จิตมันหยุดคิด ให้เป็นอิสระ

แล้วถ้าพุทโธๆ จนจิตมันเป็นสมาธินะ มันมีความสุข มันมีความอิ่มเอมในหัวใจของมัน นี่คือผลของสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

นี่พูดถึงว่า หลับทั้งนั่ง” ถ้าไม่หลับมันจะเป็นข้อเท็จจริง

สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ เราก็ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ต้องฝึกหัดการใช้ปัญญา ยังต้องฝึกหัด

ปัญญามันจะเกิดเอง มันจะลอยมาจากฟ้า เราจะบรรลุธรรม...ฝันไปเถอะ ฝันกลางวันแดดจ้าๆ ฝันไป ไม่มีอยู่จริง

ถ้ามีอยู่จริงขึ้นมา มันต้องมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนามันใช้สติปัญญาอย่างไรต่อเนื่องไป นี่พูดถึงว่าการฝึกหัดภาวนา

คำถาม ช่วงหลังเริ่มหลับทั้งนั่ง ทั้งอดอาหารช่วย ทั้งเปลี่ยนอิริยาบถก็แล้ว ทราบว่าขาดสติกับความเพียร พอจะมีอุบายเสริมไหมครับ

อุบายเสริม เราคิดด้วยอุบายของเรา เวลาจิตเราเหมือนรถยนต์ รถยนต์วิ่งไปบนท้องถนน ถ้าท้องถนน ตอนนี้เขาซ่อมถนน เขาทำถนน เวลาเขาขุดท่อระบายน้ำ ขุดต่างๆ มันตกไปเลย จิตเหมือนกัน พุทโธๆๆ หายไปเลย

เราก็พยายามพุทโธ แล้วพยายามพุทโธแบบไม่ต้องการสิ่งใด ให้มีสติสัมปชัญญะของเรา

ถ้าพุทโธๆ ถนนราบเรียบ รถวิ่งผ่านถนนหนทางไปเป้าหมายของเราให้ได้ เราพุทโธๆๆ จนกว่าจิตมันจะสงบ แล้วพุทโธ เวลาถ้ามันแว็บหายไป นั่นน่ะมันไปแล้ว แค่ทำสมาธินี่แหละ

หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกเลย แม้แต่สมาธิยังทำกันไม่เป็น

แล้วอัปปนาสมาธิ เรามั่นใจว่าทำได้น้อยมาก คือจิตรวมใหญ่น้อยมาก ทำได้ยาก แต่คนที่เป็นมันถึงได้รู้ว่าขณิกสมาธิเป็นอย่างนี้ อัปปนาสมาธิเป็นอย่างนี้ อุปจารสมาธิเป็นแบบนี้

ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ระดับของมัน แล้วถ้าอุปจารสมาธิ ตรงนี้เป็นตรงที่วิปัสสนา ถ้าเข้าไปอัปปนาแล้วเพื่อไปเอากำลัง

ถ้าขณิกะมันก็ได้แต่เท่าทันอารมณ์เท่านั้น นี่กำลังของสมาธินะ แล้วถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา สมาธินี้เป็นหนึ่งในมรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความระลึกชอบ ปัญญาชอบ ความชอบธรรม การปฏิบัติต่อเนื่องไป นี่ผลของการปฏิบัติไง

ฉะนั้น หลังจากที่เริ่มนั่งหลับ ทั้งอดอาหาร

นี่เป็นความเพียรที่เราเริ่มต้น การอดอาหารทำให้สติมันชัดเจนขึ้นมา แล้วถ้ามันจะนั่งหลับ ให้มันหลับให้เต็มที่เลย ถ้ามันนั่งหลับนะ ให้มันหลับให้ได้

ถ้ามันหิวกระหาย อดอาหารจนท้องร้องจ๊อกๆ เลยล่ะ อดอาหารจนมันเอาพลังงานในร่างกายมาใช้ ดึงออกมาใช้ อดได้หลายวันเลย อดแล้วอดเล่า อดต่อเนื่อง พออดต่อเนื่องขึ้นไปแล้ว สิ่งที่เราฝึกหัดปฏิบัติ อดต่อเนื่องๆ เวลาอดต่อเนื่องไปทำให้สติชัดเจนขึ้น ทำให้ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ไม่ทับจิต

ธาตุ ๔ คือร่างกาย พลังงานที่เหลือใช้ ขันธ์ ๕ ขันธมารๆ มารมันเข้มแข็ง มารมีกำลังมันเหยียบกดทับจิตทั้งนั้นน่ะ

เราจะแก้ไขไม่ได้ เพราะเราแก้กิเลสไม่ได้ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันก็มีกำลังของมัน แต่ถ้าเราอดนอนผ่อนอาหาร เราพยายามให้มันเบาบางลง พยายามให้กิเลสมันไม่มีกำลังจนเกินไป แล้วฝึกหัดปฏิบัติ

มันจะเป็นความทุกข์ทรมานของแต่ละบุคคล ถ้าแต่ละบุคคลนะ เราจะอาศัยของเรา เรามีสติปัญญาของเรา ทำความจริงของเราขึ้นมาให้ได้ แล้วฝึกหัดปฏิบัติ

ไม่ต้องไปเอาอะไรมาก เอาทำความสงบของใจนี่แหละ ถ้าทำความสงบของใจให้ได้ สมถกรรมฐาน มันมีฐาน มีตัวมีตน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจของสัตว์โลก ในปัจจุบันนี้ถ้าเรามาฝึกหัดปฏิบัติ เรากำลังหาหัวใจของเรา หัวใจของเราที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ แล้วหัวใจของเรานะ ฝึกหัดให้มีสติมีปัญญาขึ้นมา วิปัสสนามันจะเกิดจากจิตนั้น

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อหัวใจของสัตว์โลก เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีศรัทธามีความเชื่อในพระพุทธศาสนา เราพยายามทำความสงบของใจเข้ามาให้เข้าถึง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เข้าถึงจิตของตน เข้าถึงสมาธิของตนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนา แล้วเราฝึกหัด ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา ฝึกหัด ฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา วิปัสสนาจะเกิดตรงนั้น เกิดตรงนั้นแล้วมันจะฝึกหัดเริ่มต้นจากหัวใจของตน จบ

รู้สึกว่าอดนอนมาหลายวัน ร่างกายตื่น สติดีขึ้น เห็นความชั่วตัวเอง และเริ่มสวนมันด้วยปัญญาอบรมสมาธิได้มากขึ้น ควรเพิ่มความเพียรเพิ่มขึ้นอย่างไรบ้างครับ

ทำของเราด้วยเวลาของเรา ด้วยการตั้งโปรแกรมของเรา แล้วฝึกหัดของเราไปต่อเนื่องๆ ไป ถ้าฝึกหัดต่อเนื่องแล้วมันจะรู้ถูกรู้ผิด

เวลาพระสารีบุตรฝึกหัดกับสัญชัย นั่นก็ไม่ใช่ๆ” ไม่ใช่คือไม่รับผิดชอบอะไรเลย เวลาไปเห็นพระอัสสชิ เข้าไปหาพระอัสสชิ ถามพระอัสสชิว่าเป็นลูกศิษย์ใคร

เป็นลูกศิษย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ความสุขความทุกข์มันก็มีเหตุความผิดเพี้ยนหรือความถูกต้องชอบธรรม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ไปดับที่เหตุนู่นน่ะ เวลามันไปดับที่เหตุ บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันเลย

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันมีเหตุมีผลของมัน เราฝึกหัดปฏิบัติของเรา ให้ทำความเป็นจริงในใจเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นความเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมาบ้าง มันจะเป็นประโยชน์กับเราแล้ว มันไม่หลับทั้งนั่ง

สำคัญที่สุด สมถกรรมฐาน สัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน แล้วถ้าไม่เป็นสัมมาสมาธิ มันเป็นโลกียะ ที่ว่าเป็นโลกียะ เป็นโลกุตตระ อยู่ตรงนี้แหละ

โลกียะคือคิดของเราโดยสามัญสำนึก คิดโดยว่าเราจะคิดได้ โลกียะทั้งหมด ทำสมาธิได้หรือไม่ได้ ใช้ปัญญาๆ นั่นน่ะโลกียะทั้งสิ้น

ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา สมถกรรมฐาน ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญา นี่โลกุตตระ แล้วโลกุตตระมันมีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน นี่สมถกรรมฐาน เวลาฝึกหัดปฏิบัติใช้สติปัญญาไปมันจะเข้าไปเห็นกิเลส ชำระล้างกิเลส มันถึงจะเป็นโลกุตตระ แล้วพอสมาธิเสื่อมๆ มันถอยมาเลย นี่ปฏิบัติไปมันเป็นขั้นเป็นตอนของมัน นี่พูดถึงว่า ฝึกหัดปฏิบัติ

กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อผลของการปฏิบัติของเรานี่แหละ

แล้วถ้าจะมีอะไรเพิ่มเติม

เพิ่มเติมมันก็อยู่ที่เชาวน์ที่ปัญญา อยู่ที่ความรอบคอบของตน ถ้าความรอบคอบของตน อะไรที่มันเกิดขึ้น เราแยกแยะของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเรา จบ

ถาม เรื่อง กราบขอบพระคุณค่ะ

ได้ฟังคำตอบเรื่องพุทโธแล้วค่ะ กราบขอบพระคุณ ตอบได้ชัดเจนตรงมาตรงไป

ตอบ นั่นพูดถึงชัดเจน พุทโธก็คือพุทโธ พุทโธเป็นคำบริกรรม มันอยู่ที่วาสนาของคน พุทโธแล้วจิตสงบระงับ บางคนพุทโธไม่ได้ก็อานาปานสติ บางคนจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ มันอยู่ที่จริตนิสัยของแต่ละบุคคล

วิธีการปฏิบัติ วิธีคือวิธี แต่ผู้ปฏิบัติแล้วถ้ามันเข้าสู่จิตของตน ทำแล้วได้ผลประโยชน์ นั้นเป็นวิธีที่ถูกต้องชอบธรรมกับบุคคลคนนั้น ถ้าทำแล้วมันขัดมันแย้ง มันไม่ได้ผล เราก็หาอุบายวิธีการ

หลวงตาพระมหาบัวท่านถึงสอนว่า นักปฏิบัติต้องฉลาด หาหนทาง หาวิธีการทำของตนให้ถูกต้อง จบ

ถาม เรื่อง พิจารณากาย

กราบนมัสการหลวงพ่อ โยมพิจารณากาย ส่วนมากพิจารณาแล้วน้ำตาไหล มีอยู่วันหนึ่งพิจารณามือ ภาพมือหงาย จิตก็เลยบังคับให้คว่ำ มือก็คว่ำ โยมก็ไม่รู้ว่าทำไมไปบังคับจิต ปรากฏว่าภาพนั้นมันเล็กลงแล้วก็วูบหายไปในที่สุด วันต่อมาพิจารณากายไม่เห็นภาพ แต่ก็ไม่สะเทือนใจใดๆ เลย

คำถามคือว่า สมาธิเสื่อมใช่ไหม และภาพกายจะไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลยใช่ไหมเจ้าคะ

ตอบ ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน พอจิตสงบระงับแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ฝึกหัดใช้ปัญญาโดยสมาธินี่เป็นเจโตวิมุตติ

น้อมไปที่กาย เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เวลามันเห็น มันเห็นโดยสัจธรรม มันไม่ได้เห็นโดยการคาดหมาย มันไม่ได้เห็นโดยทางวิชาการที่ต้องลำดับว่า หนึ่ง สอง สาม สี่

เวลาเห็น มันเห็นของมันแล้ว มันจะสี่หรือจะหนึ่งจะสาม สิ่งใดขึ้นก่อน เวลาขึ้นมันขึ้นโดยกำลังของจิต ขึ้นโดยอำนาจวาสนาบารมีของแต่ละบุคคลคนนั้น

เวลาถ้าเห็นภาพกาย เวลาเห็นน่ะเห็นกาย เห็นกายจะเห็นส่วนไหน เห็นอย่างใด เห็นเพราะกำลังสมาธิอ่อน เห็นโดยสั่นไหว เห็นโดยสมาธิปานกลาง เห็นแล้วมันตั้งอยู่ไม่ได้ เห็นโดยสมาธิที่กำลังรุนแรง เห็นแล้วคงที่ตายตัวมันถึงวิปัสสนาไม่ได้ นี่เวลาสมาธิ

แต่ถ้าสมาธิมันมีกำลังของมัน พอสมาธิมีกำลังของมัน มีอยู่วันหนึ่งพิจารณามือ ภาพมือมันหงายขึ้นมา จิตก็บังคับให้คว่ำ มันก็คว่ำ โยมไม่รู้ว่าทำไมถึงไปบังคับจิต

นี่แหละเขาเรียกว่าปัญญา เวลาถ้าเห็นมือ ถ้าขยายส่วน ขยายส่วนย่อส่วน ถ้าเห็นนี่อุคคหนิมิต นิมิตที่เห็นภาพกายนั้น เวลาขยายส่วน มือนี้ใหญ่ขึ้น มือนี้จะกระจายตัวออก มือนี้ย่อยสลายไป นี่เวลาไป นี่คือไตรลักษณ์

ฉะนั้น เวลาว่าเวลาเห็นภาพมือขึ้น ทำไมไม่รู้ว่าบังคับให้มันคว่ำลง พอมันคว่ำแล้วปรากฏว่าภาพนั้นมันก็เล็กลงแล้ววูบหายไปเลย

วูบหายไปเลยเพราะเราเห็นได้แค่นี้ไง สมาธิมีกำลังเท่านี้ไง ซื้อตั๋วรถไฟ ซื้อตั๋วได้สองสถานี พอถึงสถานีก็จบไง กำลังมีเท่านี้

นี่พอจบแล้ว สิ่งที่จบแล้ว วันต่อมาพิจารณากายไม่เห็นภาพ

สมาธิไม่มีกำลัง

เวลาไม่เห็นภาพมันก็ไม่สะเทือนใดๆ เลย อย่างนี้เป็นสมาธิเสื่อมหรือไม่เจ้าคะ

แน่นอน

สมาธิๆ ถ้ากำลังของมัน เราทำสมาธิแล้วจิตมันสงบระงับ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี คือมันมีความสุข มีความปกติสุข นี้คือรสชาติของสัมมาสมาธิ สมาธิธรรม เราก็มีธรรมโอสถของสัมมาสมาธิ

ทีนี้สัมมาสมาธิมันเป็นบาทเป็นฐานๆ สมถกรรมฐาน ฐานที่เราจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าเห็นภาพ เห็นกาย ยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันเป็นยกขึ้นอีกชั้นหนึ่ง แล้วอีกชั้นหนึ่ง สมาธิมันรองรับไว้ สมาธิเป็นกำลังขึ้นมา แล้วสมาธิไม่มีกำลังขึ้นมามันก็เห็นภาพนั้นไม่ได้

เราทำสมาธิๆ สมาธิมันแก่กล้า สมาธิ เราจะนึกให้เห็นภาพกายมันก็ไม่เห็น เพราะปรากฏการณ์เห็นภาพนั้นจะเห็นสิ่งใดก่อน เห็นอย่างไรก่อน มันอยู่ที่วาสนา อยู่ที่จังหวะและโอกาส เพราะเรายังควบคุมสิ่งใดไม่ได้

แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัตินะ ถ้าเห็นกาย พิจารณากาย ถ้ามีกำลังแล้ว ถ้าทำสมาธิของท่านขึ้นมาระดับหนึ่ง ท่านรำพึงไปที่กาย ผัวะผัวะผัวะไม่อย่างนั้นมันจะวิปัสสนาไปอย่างไร

วิปัสสนาทำแล้วทำเล่าๆ ศีล สมาธิ ปัญญา ฉะนั้น สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นจากอำนาจวาสนา นี่การพิจารณากาย

ฉะนั้น การพิจารณากาย สิ่งที่พิจารณา ภาพมือที่หงายขึ้น บังคับให้มันคว่ำลง โยมไม่รู้ว่าทำไมถึงไปบังคับจิต

มันเป็นกำลังตอนนั้น มันเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ถ้าเหตุการณ์เฉพาะหน้า เหมือนเวลาคนที่ทำความสงบของใจเข้ามา จิตมันเห็นนิมิตต่างๆ เราบังคับได้ไหม

แต่ถ้าคนที่มีความชำนาญนะ ได้หมด กำหนดจิต จิตถ้ามันเป็นอย่างนั้นปั๊บ กำหนดให้มันต่อเนื่อง ควบคุมดูแลให้ดี อย่าให้มันพุ่งหรืออย่าให้มันลง เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนไม่ควรเสพ ลงซ้ายลงขวา ดูแลได้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าฝึกหัดจนชำนาญแล้วรักษาได้ดูแลได้ แต่ดูแลขั้นไหนไง

ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ เราสันนิษฐาน สันนิษฐานเขาเรียกว่าเดา เราสันนิษฐานว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นโดยธรรมเกิด โดยสัจธรรมเกิด เราถึงตั้งตัวเราไม่ทันไง

แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่ฝึกหัดนะ ท่านทำความสงบของใจเข้ามาแล้วเรารำพึงหรือเราตั้งตัวอยู่แล้วว่า ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม คนที่พร้อมและตั้งตัวไว้แล้วว่าสิ่งใดเกิดขึ้น เราจะไม่ตื่นเต้นไปกับสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะเราปรารถนาจะพบจะเห็น แล้วถ้าพบเห็นแล้วเราก็ไม่ตื่นเต้น...แต่ตื่นเต้น

เราปรารถนาว่าไม่ตื่นเต้นไง เพราะยังไม่เห็นยังไม่ได้พบไง เวลาได้เห็นได้พบมันก็สั่นไหว สั่นไหวแล้วเราจะประคองใจอย่างไร

เราจะประคองใจ ตั้งสติให้มันมั่นคง อย่าหวั่นไหว ถ้าสิ่งใดนะ อย่าหวั่นไหว แล้วกำลังของสมาธินี่แหละจะเป็นผู้ที่เห็นกาย เป็นผู้ที่จับเวทนา เป็นผู้ที่เห็นจิต เป็นผู้ที่เห็นธรรมารมณ์ แล้วจับฝึกหัด

เพราะเริ่มต้นการฝึกหัด สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน นี่แหละเป็นงานที่ยากที่สุด เป็นงานที่เราต้องฝึกหัดต้องให้มีความชำนาญ

ถ้ามีความชำนาญแล้วนะ ต่อเนื่องไปๆ พอชำนาญแล้วมันจะรู้เลย เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เราควบคุมดูแลได้ทั้งนั้น อะไรเสื่อมก็เติมตรงนั้น อะไรเจริญแล้วก็ควบคุมดูแลให้ดี แล้วฝึกหัดไป ฝึกหัดบ่อยครั้งเข้าๆ เพราะอะไร

เพราะเวลาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงนี่แหละ เวลาพิจารณาไปแล้วถ้ามันปล่อยๆ นั่นน่ะ ตทังคปหาน ปหานด้วยปัญญา ด้วยการวิปัสสนา ด้วยการฝึกหัด แต่เป็นการปหานชั่วคราว

คำว่า ชั่วคราว” เพราะเป็นการฝึกหัด เหมือนนักกีฬาซ้อม ซ้อมๆๆ ซ้อมให้มีความชำนาญ แล้วเวลาถ้ามันแข่งตามความเป็นจริง เวลาถ้ามันเป็นจริงนะ มรรคสามัคคี ถ้ามันสมดุลพอดีของมันนะ มันสมุจเฉทปหาน นิโรธ นั่นแหละเป็นความจริง

ฉะนั้น สิ่งที่การพิจารณากายๆ สิ่งที่คำถามถามมานี้ เราสันนิษฐาน คือเดาว่ามันเป็นธรรมเกิด เป็นเวลาธรรมมันเกิด สัจธรรมที่เกิดขึ้น แต่เราจับต้นชนปลายแล้วทำสิ่งใดไม่ได้

แล้ววันต่อมาพิจารณากายไม่เห็นกายอีกแล้ว ไม่เห็นภาพเลย แล้วไม่สะเทือนใจด้วย

สะเทือนใจไม่สะเทือนใจมันเป็นผล ทำสมาธิ ทำสมาธิถ้ามันมีความสุขของมันนะ มันก็ไม่สะเทือนใจสองวันสามวัน ถ้ากำลังยังดีอยู่ แต่สี่วันห้าวันเดี๋ยวก็เสื่อม กลับมาสู่สภาวะปกติ ใช้ปัญญาๆ ก็เหมือนกัน

นี่ไง รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง ขณะที่เห็นมันสดๆ ร้อนๆ มันมีผลต่อเนื่องมาอีกวันสองวันหรือสามวัน พอต่อเนื่องมาแล้วนะ พออารมณ์ความรู้สึก ผลของความสุขนั้นมันเบาบางลง เดี๋ยวก็เหมือนเดิม

นี่ไง บอกว่า เวลาเห็นภาพนั้นแล้วมันไม่สะเทือนใจเลย มันอยู่คงที่เลย

สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีหรอก สิ่งที่คงที่ไม่มี

แต่ทำไมมันเป็นอย่างนี้ล่ะ

มันเป็นแบบนี้เพราะมันมีผลต่อเนื่องมา ผลต่อเนื่องจากธรรมโอสถ การทำคุณงามความดีของเราไง การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเราไง นี่ผล นี่การพิจารณากาย

ฉะนั้น สมถกรรมฐานคือทำสมาธิ ทำความสงบของใจๆ เราทำของเราขึ้นมาเพื่อเป็นพื้นเป็นฐานเป็นการฝึกหัดปฏิบัติ วิปัสสนามันเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยนะ วิปัสสนานี่ สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ทำไมเราถึงแบ่งแยกล่ะ

แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติเป็นนะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านพ้นทุกข์ไปแล้วท่านบอกว่า ในสมถะก็มีวิปัสสนา ในวิปัสสนาก็มีสมถะ

ก็ใช่ ก็ใช่ต่อเมื่อมีความชำนาญแล้วมันต่อเนื่องกันไป แต่สมถะก็คือสมถะ วิปัสสนาก็คือวิปัสสนา แล้วต้องฝึกหัดให้มันเป็นด้วย ให้มันเป็นไป มันถึงสมบูรณ์แบบในพระพุทธศาสนาไง

ถ้ามันเป็นขึ้นมามันก็เป็นพระกรรมฐานไง เป็นพระป่าไง เป็นผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติไง ถ้าฝึกหัดปฏิบัติแล้วถ้ามันเป็นขึ้นมามันก็ยกขึ้นบุคคลคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ เพราะมันเป็น

เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก เวลาท่านจะบอกกันว่าลูกศิษย์ภาวนาเป็นแล้ว ภาวนาเป็นแล้วคือเขาบริหารสมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐานได้

เริ่มต้นฝึกหัดแค่ทำสมถกรรมฐานก็เจียนอยู่เจียนตาย แล้วพอปฏิบัติแล้ว พอเจียนอยู่เจียนตายปฏิบัติแล้วไม่ได้ก็ล้มเลิกกันไป แล้วถ้าปฏิบัติเจียนอยู่เจียนตายกันแล้วไม่ได้ ก็เป็นอุปาทานหมู่ว่าของพวกเรา เป็นอย่างนี้ถูกต้องแล้ว พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้...ตายอยู่นั่นเลย

แต่ถ้ามันฝึกหัดปฏิบัติไป สมถกรรมฐานนี่เจียนอยู่เจียนตาย แล้วฝึกหัดขึ้นๆ ยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้มันจะเห็นของมัน แล้วมีวาสนาต่อเนื่องไปหรือไม่

เพราะหลวงปู่มั่นลูกศิษย์มากมายมหาศาล ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์มีกี่องค์ ทั้งๆ ที่ว่าหลวงตาพระมหาบัวก็ชื่นชมว่าหลวงปู่มั่นเป็นโรงงานผลิตพระอรหันต์ ผลิตพระอรหันต์มาในพระพุทธศาสนา กึ่งกลางพระพุทธศาสนานี้มากมาย

ถ้ามากมาย เรื่องอย่างนี้ต้องชำนาญทั้งนั้นน่ะ คนที่ประพฤติปฏิบัติมาต้องมีความชำนาญ ไม่มีความชำนาญ ไม่มีประสบการณ์ มันจะประคองแล้วพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาให้เป็นสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน แล้วบุคคลคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ อีกมากมายมหาศาล

ฉะนั้น งานในพระพุทธศาสนามันถึงเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ เพราะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย วิมุตติสุข จบที่นี่ ถ้าทำได้จริงนะ

ฉะนั้น นี่คำถามไง ยังชื่นชมอยู่ ว่ามีอยู่วันหนึ่งเห็นภาพมือมันหงาย เลยบังคับจิตให้มันคว่ำ ไม่รู้อะไรไปบังคับมัน อัตโนมัติไง ความชำนาญหรือปรากฏการณ์ของจิต ปรากฏว่าภาพนั้นเล็กลงๆ แล้วก็วูบหายไปเลย เล็กลงๆ แล้ววูบหายไปเลย เห็นภาพนั้นแล้วภาพนั้นก็เลือนหายไปไกลเลย ร้อยแปดพันเก้า แล้วทำอย่างไรล่ะ ทำอย่างไรจะให้ตั้งมั่น

อุคคหนิมิต วิภาคะ ขยายส่วนแยกส่วนให้เป็นไตรลักษณ์ ถ้าเป็นไตรลักษณ์นั่นคือปัญญา ปัญญาที่ให้จิต จิตตภาวนา จิตรู้ จิตเห็น จักขุญาณ ญาณหยั่งรู้ของจิต

ขณะนี้จิตโดนครอบงำโดยพญามาร พยายามทำความสงบสุขให้จิตเป็นอิสระ อิสระเพราะกิเลสสงบตัวลง แล้วฝึกหัดใช้ปัญญา วิปัสสนารู้แจ้งในจิตของตน ถ้ารู้แจ้งในจิตของตน เห็นไหม

วิปัสสนาคือความรู้แจ้งในกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมีความชำนาญเหมือนกัน แล้วความชำนาญนี้มันต้องมีสมาธิเป็นพื้นฐานตลอด แล้วปัญญาเกิดขึ้นมาจนความสมดุลของสติ ของสมาธิ ของปัญญา สมดุลพอดี สมุจเฉท ขณะ เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา นี่การประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ

ฉะนั้น สิ่งที่ผ่านไป มันผ่านไปแล้ว เป็นปรากฏการณ์ชีวิต ปรากฏการณ์ในการภาวนา แล้วถ้ามันเป็นจริงเป็นจัง ฝึกหัด

สิ่งที่รู้ที่เห็นมันเป็นการยืนยันแล้ว สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ภาพที่เห็นนั่นล่ะถ้ามีความชำนาญแล้วควบคุมดูแลบริหารจัดการได้นั่นน่ะวิปัสสนา

แต่นี่เราควบคุมดูแลไม่ได้ เพราะอะไร เพราะหนูไม่รู้ว่าทำไมถึงไปบังคับมัน

มันไปบังคับมันเพราะมันเป็นสายงานไง แต่เรายังไม่ชำนาญไง ถ้ามีความชำนาญ น้อมไป พิจารณาไป พิจารณาแล้ว

เวลาหลวงตาท่านพูดไง ถ้าจิตกำลังมันพอ พิจารณาไปแล้ว โอ้โฮมันทะลุทะลวงทั้งนั้นน่ะ ถ้ากำลังมันไม่พอ กำลังของสมาธิไม่เข้มแข็ง มันไม่ไป ทื่อๆ ไม่มีรสไม่มีชาติ...วาง แล้วกลับมาทำสมาธิให้มากขึ้น

ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาท่านผ่านมาหมดแล้ว แล้วผ่านมาโดยข้อเท็จจริง เวลาผ่านมาโดยข้อเท็จจริง ถึงเห็นว่ากิเลสนี้ร้ายนัก กิเลสในใจของคนร้ายนัก ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่ากิเลสในใจของคน แล้วก็อยู่ในใจเรานี่ไง แล้วเรากำลังฝึกหัด เรากำลังปฏิบัติ เราจะเอาชนะกิเลสของตน เอวัง